Note #1

project cover image

“ประท้วงไปยังไงก็ไม่ชนะ”​

ใช่ - ประท้วงไปก็ไม่ชนะหรอก ถ้าชัยชนะที่ว่าคือการได้มาซึ่งอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือ คือการที่บ้านเมืองจะสงบสุขเป็นประชาธิปไตยถ้วนหน้าในทันใด

และไม่ - เราไม่เห็นด้วย เราไม่เห็นด้วยกับการใช้วาทกรรมแพ้-ชนะโดยสมบูรณ์แบบ zero-sum game เราไม่เห็นด้วยกับการใช้วาทกรรมนั้นขับเคลื่อนขบวนการเพื่อประชาธิปไตย

เราคงต้องกลับมาตั้งคำถามกับการต่อสู้ตั้งแต่ต้น ว่าศัตรูของเราคืออะไรกันแน่ สำหรับเราศัตรูไม่ใช่คนคนเดียว ไม่ใช่ประยุทธ์ ไม่ใช่ชุดรัฐบาลใด หรือใครที่ไหน แต่คือโครงข่ายการกดขี่ ความอยุติธรรมที่มีแนวโน้มเป็นเผด็จการทั้งสารบบ การล้มเผด็จการจึงเป็นเรื่องเดียวกับการดึงทึ้งแนวคิดระบอบชายเป็นใหญ่ การต่อสู้แบบเฟมินิสต์จึงเป็นเรื่องเดียวกับการต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงาน และโครงข่ายมันเกาะเกี่ยวพัวพันและแทรกซึมอยู่ทุกแห่งหน ไม่ว่าจะในที่ทำงาน ในความสัมพันธ์ ใน “ฝั่งเรา” หรือแม้กระทั่งในตัวเราเอง เราไม่อาจชะล้างแนวโน้มความเป็นเผด็จการที่ว่าเพียงเพราะเราชูสามนิ้ว เพราะเราอ่านหนังสือถูกเล่มหรือเพราะเราด่าถูกคน การต่อสู้คือการพุ่งชนศัตรูนั้นไม่ว่าจะอยู่ในร่างใด

การต่อสู้ครั้งนี้ (หรือครั้งไหน) จึงไม่ใช่สงครามโลกที่มีเครื่องแบบแบ่งฝ่ายชัดเจน ฆ่ากันจนราบไปข้าง จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้และอีกฝ่ายประกาศการ “ยึดอำนาจ” ได้สำเร็จ ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเท่าเทียม หรือเพื่อความยุติธรรมที่เราใฝ่ฝันถึงไม่ได้มีชัยชนะโดยสมบูรณ์ พูดอย่างนี้ไม่ได้ตั้งใจให้ท้อแท้ไปกว่าเดิม แต่เพื่อย้ำคำว่านี่คือการต่อสู้ระยะยาว การเคลื่อนไหวคือกระบวนการการบั่นทอนกร่อนแซะอำนาจนำ และเป็นการหมั่นดันเพดานและถ่างขยายจินตนาการในสังคม มันคือการพรวนดินเพื่อเตรียมพื้นที่ให้เราได้หยั่งรากและเติบโต

แน่นอนว่าเมื่อเราบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง เล็กใหญ่เพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นมวลชนรวมตัวกันที่ราษฎร์ประสงค์ การปล่อยตัวเพื่อนเรา หรือการเปิดประเด็นข้อถกเถียงในสังคม นั่นก็ถือว่าเป็น “ชัยชนะ” ได้ เราใช้คำนี้เพื่อเฉลิมฉลองผลลัพธ์ที่เรามุ่งหมายไว้ แต่เราไม่มองว่ามันคือชัยชนะโดยสมบูรณ์ที่บ่งชี้ถึงจุดสิ้นสุดของการต่อสู้และอนุญาตให้เราละมือวางใจ แต่พวกเราดีใจเพราะพวกเราได้เห็นดอกผลจากการเฝ้าพรวนดินอย่างไม่ลดละของการรวมหมู่มวลชน การควบแน่นของกระแสการขัดขืนจากทุกตรอกมุมของสังคม ความงดงามของดอกผลต่างหากที่ยิ่งย้ำบอกให้เราไม่หยุดนิ่ง และย้ำเตือนไม่ให้หยุดเดินบนหนทางของการต่อสู้

เพราะฉะนั้นแล้ว ใช่ เราคิดว่าประท้วงไปยังไงก็ไม่ชนะหรอก เพราะเราไม่ได้เชื่อในชัยชนะแบบเดียวกัน เราต้องไม่จำนนให้กับวาทกรรมขั้วตรงข้ามระหว่างชัยชนะและความพ่ายแพ้ วาทกรรมที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไร้พลัง เราไม่ยอมให้มันทำงานเป็นเครื่องมือของศัตรู นั่นคือเข้ามาสูบพลังในการดิ้นรนและขัดขืน แต่เราจะยืนหยัดไม่ว่าศัตรูจะอยู่ในร่างใด และรู้ว่าการต่อสู้มันไม่มีวันหยุดนิ่ง แต่นั่นไม่ใช่ความเหนื่อยล้าและไร้จุดหมาย หากแต่เป็นความหวังและเชื้อเพลิงในการจินตนาการถึงจักรวาลของความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขต

น้ำขึ้นคอลเลคทีฟ
.
นี่เป็นเสี้ยวความคิดหนึ่งที่น้ำขึ้นอยากชวนทุกท่านคุยในการสนทนา “ภาวะหลังชุมนุม: ศิลปะจะไปทางไหนต่อ?” กับศิลปินและนักเคลื่อนไหวจากฮ่องกง Wen Yau ในวันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม เวลา 14.000-16.00 ทาง Google Meet สามารถติดตามรายเอียดกิจกรรมได้ทางเพจ inappropriate BOOK CLUB ผู้จัดกิจกรรม (ทั้งนี้จะไม่มีการ Facebook Live เพื่อความเป็นอิสระในการพูดคุย เพราะฉะนั้นหากท่านสนใจ จำเป็นเข้าร่วมในเวลาดังกล่าวเท่านั้น)